กรงนก ท่ามกลาง อิสระภาพ

กรงนก ท่ามกลาง อิสระภาพ

วันพุธที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

Music of Germany ดนตรีของประเทศเยอรมนี

ถ้าจะว่าตามกันความรุ่งเรืองในประวัติศาสตร์ของดนตรีโลกแล้วนั้น ดนตรีของประเทศเยอรมันนีจะเริ่มรุ่งเรืองในช่วงของ ยุค Baroque Period (1600-1750) ซึ่งเป็นยุคที่วิชาดนตรีของโลกได้เริ่มเป็นปึกแผ่นและมีรากฐานมากขึ้น ความเจริญทางด้านนาฎดุริยางค์มีมากขึ้น นักดนตรีที่มีอิทธิพลอย่างมากในสมัยนั้น เช่น J.S. Bach (1685-1750)  และ Handel (1685-1759) เป็นต้น


นักดนตรีเอกของเยอรมันที่มีอิทธิพลต่อโลกของเราอาทิ


โจฮันน์ เซบัสเตียน บาค (Johann Sebastian Bach)
เกิดที่ ไฮเซนาค เยอรมันนี 21 มีนาคม ค.ศ.1685
ตายที่ ไลฟ์ซิก เยอรมันนี 28 กรกฎาคม ค.ศ. 1750


          บาคเป็นนักไวโอลินฝีมือดี และมีอาชีพเป็นนักดนตรีประจำอยู่ที่เมืองไอเซนาค และแม่ชื่อ Elisabeth Lammerhirt Bach ตระกูลของบาคเป็นตระกูลใหญ่และเก่าแก่มาก ดำเนินอาชีพทางดนตรีสืบต่อกันมาเป็นเวลานานกว่าสองทศวรรษ อาจารย์คนแรกที่สอนให้บาครู้จักกับดนตรีนั้นก็คือพ่อของเขา ซึ่งท่านไ้ด้สอนเล่นไวโอลินและไวโอล่า เพลงที่มีชื่อเสียงของบาคอย่างเช่น เพลง Brandenburg Concertos และ Violin Concertos เป็นต้น





ยอร์จ เฟรเดริค ฮันเดล (George Frederick Handel)
เกิดที่ ฮัลเล เยอรมันนี 23 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1685
ตายที่ ลอนดอน อังกฤษ 14 เมษายน ค.ศ. 1759


         ฮัลเดล เป็นคีตกวีผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ของดนตรี เขาเป็นนักแต่งเพลงอุปรากรชื่อดังแห่งยุค เป็นนักแต่งเพลงเกี่ยวกับศาสนาที่ลือชื่อ แม้ในปัจจุบันพอถึงวันคริสต์มาสโบสถ์คริสตศาสนาทั่วโลกยังเล่นเพลง Messiah ของเขาอยู่ เบโธเฟน นักดนตรีและนักแต่งเพลงบันลือนาม ยังได้กล่าวยกย่องฮันเดลว่า "ดนตรีของฮัลเดลเป็นแบบที่มีท่วงทำนองง่ายๆเรียบๆ แต่ทว่ามีความไพเราะอย่างลึกซึ้งควรแก่การศึกษาเป็นอย่างยิ่ง"
          ฮัลเดลชอบดนตรีมาแต่เล็กแต่น้อย แต่พ่อไม่อยากจะให้ลูกเป็นนักดนตรี เพราะ้เป็นอาชีพที่ไม่ทางจะหาความร่ำรวยได้ และนักดนตรีส่วนมากมีแต่ความขัดสนยากจนทั้งนั้น พ่ออยากให้ลูกชายเรียนวิชากฎหมาย เพราะสมัยนั้นอาชีพกฎหมายกำลังเฟื่อง จึ่งส่งเสริมให้เรียนหนักไปทางวิชาการ เพื่อจะเข้าศึกษาต่อกฏหมายได้ เมื่อเรียนจบการศึกษาขึ้นต้นแล้ว แต่ฮัลเดลก็แอบไปหัดเล่นดนตรีทุกคืนและปิดบังไม่ให้พ่อรู้เรื่องนี้ เพลงที่สร้างชื่อเสียงให้กับเขาอย่างเช่น Eleven Chandos Anthems และ Esther ซึ่งเป็นเพลงประเ้ภท Oratorio เป็นต้น


คริสโตฟ วิลลิบาลด์ กลุ๊ด (Cristoph Willibald Gluck)
เกิดที่ Erasbach เยอรมันนี 2 กรกฎาคม ค.ศ.1714
ตายที่ เวียนนา อิตาลี 15 พฤศจิกายน ค.ศ.1787

          กลุ๊ด เป็นคีตกวีและนักดนตรีผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งของโลก ชีวิตของเขามีลีลาผิดแผกไปจากคีตกวีที่มีชื่อเสียงอื่นๆ ทั้งนี้ก็เำพราะว่าขณะเขามีอายุเกือบ 40 ปีนั้น ยังไม่มีท่าทางเลยว่าเขาจะมากลายเป็นผู้ยิ่งใหญ๋แห่งโลกดนตรี 
           แรงบันดาลใจที่ทำให้เขาอยากเป็นนักดนตรีนั้น อยู่ในระหว่างปี ค.ศ.1726-1732 ในวิชาวิทยาศาสตร์และดนตรี ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่ได้รับการศึกษาทางดนตรี ต่อมาก็เดินทางไปยังกรุงปร๊าคเพื่อเรียนการร้องเพลงในโบสถ์ และเรียนออร์แกน ไวโอลิน เชลโล ตลอดจนคลาเวียร์ กลุ๊คเรียนอย่างเอาจริงเอาจัง จนได้รับความชมเชยจากบรรดาครูบาอาจารย์อยู่เนืองๆ เขาได้ฟัเพลงจุลอุปรากรของเยอรมันอยู่เสมอจึงทำให้กลุ๊คมีความใฝ่ฝันอยากจะเป็นนักแต่งเพลงเหลือเกิน งานที่มีชื่อเสียงของเขาอย่างเช่น อุปรากรเรื่อง Roland และ Armide เป็นต้น 
            กลุ๊คนับว่าเป็นบุคคลสำคัญอย่างยิ่งคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ยุคแรกเริ่มของอุปรากร ในฐานะผู้ผู้บุกเบิกทางให้แก่อุปรากรสมัยใหม่


ลุดวิก ฟาน เบโธเฟน (Ludwig Van Beethoven)
เกิดที่ บอนน์ เยอรมันนี 16 ธันวาคม ค.ศ. 1770
ตายที่ เวียนนา ออสเตเรีย 26 ธันวาคม ค.ศ. 1827


            ในชีวิตของนักดนตรีและนักประพันธ์เพลงที่ยิ่งใหญ่ผู้นี้ อาจกล่าวได้ว่ามีความมืดมากกว่าความสว่าง เขาเกิดในครอบครัวที่ีฝืดเคืองแร้นแค้นยากจน พ่อของเขามีอาชีพเป็นนักร้องเสียงเทนเนอร์ประจำวงดนตรีของเจ้าเมือง เบโธเฟนเป็นลูกคนที่ 2 ในจำนวนทั้งหมด 7 คน เบโธเฟนเป็นเด็กที่มีสาระรูปขี้เหร่เงียบขรึม ขี้อาย พ่อเริ่มสอนไวโอลินและเปียโนให้ก่อนที่มีอายุ 4 ขวบ แต่เขาเล่นได้ไม่ดีดังใจหวัง จึงทำให้พ่อโมโหและเอาไม้เคาะที่ตาตุ่มบ่อยๆ เพราะพ่อของเขามีความฝันอยากให้ลูกมีชื่อเสียงโด่งดังเหมือนกับโมสาร์ท (Wolfgang Amadeus Mozart) ดังนั้นเขาจึงเคี่ยวเข็ญให้ลูกฝึกดนตรีอย่างเข้มงวดกวดขันเป็นที่สุด
              จากความพยายามของพ่อนี้เอง ต่อมาลุดวิก ฟาน เบโธเฟน ก็เริ่มมีความรู้สึกมีความรักดนตรีขึ้นมาบ้าง ตอนที่เขามีอายุได้ 8 ขวบนั้นก็ได้ออกโรงแสดงคอนเสริต์ต่อหน้าประชาชนเป็นครั้งแรก ปรากฎว่าได้รับการปรบมือจากผู้ฟังอย่างเกรียวกราวและชื่นชน จึงเป็นจุดเริ่มต้นของนักดนตรีนามว่าลุดวิก ฟาน เบโธเฟนนี้เอง ผลงานที่มีชื่ีอเสียงของเขาอย่างเช่น Pastoral Symphonty และ Mammoth Ninth Symphony ซึ่งใช้เวลาเขียนถึง 6 ปี เป็นต้่น



คาร์ล มาเรีย ฟอน เวเบอร์ (Carl Maria von Weber)
เกิดที่ Eutin, Oldenburg เยอรมันนี 18 พฤศจิกายน ค.ศ.1786

ตายที่ ลอนดอน อังกฤษ 5 มิถุนายน ค.ศ.1826


          ชีวิตในตอนปฐมวัยของเขานั้นไม่มีใครคาดฝันเลยว่า เขาจะกลายเป็นคีตกวีและนักดนตรีผู้ยิ่งใหญ่ของโลก เพราะตอนนั้นเขาไม่มีแววทางดนตรีแม้แต่น้อย พี่ชายต่างมารดาของเขาพยายามสอนดนตรีเขาอยู่เป็นเวลานาน แต่เขาก็ไม่สามารถเล่นเปียโนได้ดังใจหวังของพี่ชาย ทำให้พี่ชายของเขาโมโหเป็นอย่างมาก จึงได้ด่า คาร์ล ว่าเขาไม่มีวันเป็นนักดนตรีได้อย่างแน่นอน แต่พ่อของเขาไม่เห็นด้วย พ่อจึงพยายามฝึกสอนให้เขานั้นเล่นเปียโนและไวโอลินอย่างจริงจัง แต่เขาก็ไม่มีทีท่าว่าจะเป็นนักดนตรีขึ้นมาเลย แต่พ่อของเขานั้นมีวงดนตรีซึ่งเที่ยวแสดงเร่ไปตามที่ต่างๆ แบบละครเร่ ฉะนั้นการที่เขาได้เกิดมาในท่ามกลางนักดนตรี ทำให้คาร์ลนั้นมีความมุมานะเล่นดนตรีจนได้
          ผลงานที่สร้างชื่อเสียงให้กับเขาอย่างเช่น Symphony No.1 in C Major และ Concerito สำหรับใช้กับฮอร์น (Horn) เป็นต้น






 

วันพุธที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2554

เทพ ดีโอไนซัส (Dionysus)

แบกคัส หรือ ไดโอนิซัส (dionysus) ตามชื่อกรีก ได้รับการยกย่องเป็นเทพองค์หนึ่งในคณะเทพโอลิมเปียน และเป็นที่นับถือของชนทั้งหลายในฐานะเทพผู้พบและครองผลองุ่น ต่อมาเป็นเทพครองน้ำองุ่นตลอดจนความเมาเนื่องจากการดื่มน้ำองุ่นด้วย
ไดโอนิซัส เป็นบุตรของซูสเทพบดี กับนางสีมิลี ธิดาของแคดมัสผู้สร้างเมืองธีบส์ กับนางเฮอร์ไมโอนี การกำเนิด ของเทพไดโอนิซัสนับว่าน่าสงสารทีเดียว เหตุเพราะความหึงหวงของเจ้าแม่ฮีรา กล่าวคือ
เมื่อเทพปริณายกซูสไปเกิดมีความปฏิพัทธ์พิศวาสนางสีมิลี จึงได้จำแลงองค์เป็นมานพลงมาแทะโลมและสมสู่ด้วย ถึง แม้ว่านางจะได้รับแต่คำบอกเล่าของมานพ โดยไม่มีอะไรพิสูจน์ว่ามานพนั้นคือเทพไท้ซูส นางก็พอใจและปิติยินดีไม่ติดใจ สงสัยอันใด ไม่ช้าเรื่องพิศวาสระหว่างซูสเทพบดีกับนางสีมิลีก็แพร่งพรายไปถึงเจ้าแม่ฮีราผู้หึงหวง เจ้าแม่มุ่งมั่นจะให้เรื่องนี้ ยุติเสียทันที จึงจำแลงองค์เป็นนางพี่เลี้ยงแก่ของสีมิลีเข้าไปในห้องของนาง และชวนคุย พอได้ช่องก็ซักเรื่องเกี่ยวโยงไปถึง เรื่องความรักของนาง และออกอุบายให้นางหลงเชื่อเกี่ยวกับประวัติอันน่าสงสัยของมานพผู้นั้นว่าจะเป็นซูสจำแลงมาจริงหรือไม่ โดยให้มานพนั้นปรากฏกายให้เห็นในลักษณะของเทพเจ้า ซึ่งนางสีมิลีก็หลงเชื่อในที่สุดและตกลงใจที่จะกระทำตามที่พี่เลี้ยง แก่แนะนำ
เมื่อซูสเสด็จลงมาอีก นางสีมิลีจึงหว่านล้อมให้ไท้เธอสาบาน โดยอ้างแม่น้ำสติกซ์เป็นทิพย์พยานว่าไท้เธอจะโปรด ประทานฉันทานุมัติตามคำของนางประการหนึ่ง ครั้นไท้เธอสาบานแล้วนางก็ทูลความประสงค์ของนางให้ทราบ ซูสเทพบดีถึงแก่ ตกตะลึงด้วยคิดไม่ถึงว่านางจะทูลขอในข้อฉกรรจ์ถึงเพียงนี้ ไท้เธอตระหนักดีว่า ถ้าไท้เธอสำแดงองค์ให้ปรากฏตามจริง ก็จะ ทำให้นางสีมิลีผู้เป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดาไม่อาจมีชีวิตได้ แต่อย่างไรก็ดีไท้เธอก็มีพันธะที่จะต้องปฏิบัติตามสาบานอย่าง เคร่งครัด ไม่มีทางจะบ่ายเบี่ยงได้ ด้วยว่าการละเมิดคำสาบานซึ่งอ้างแม่น้ำสติกซ์อันศักดิ์สิทธิ์เป็นทิพยพยานนั้นย่อมบังเกิดผล ร้ายกับเทพผู้สาบานทุกองค์เหมือนกันหมด ไม่มีที่ยกเว้นแม้แต่องค์เทพบดีซูสเอง
 ซูสเนรมิตองค์ให้ปรากฏตามลักษณะประกอบด้วยทิพยาภิสังขารอันเป็นจริง พอนางสีมิลีได้เห็นภาพของไท้เธอ ด้วยตาอันพร่าพราว นางก็ถึงแก่ล้มกลิ้งด้วยไม่อาจทนต่อทิพยอำนาจของไท้เธอได้ และในชั่วพริบตาก็บังเกิดไฟลุกขึ้นเผา ผลาญนางให้วอดวายกลายเป็น จุณไป ในขณะนั้นนางสีมิลีทรงครรภ์อยู่ แม้ซูสไม่อาจช่วยชีวิตของนางไว้ได้ แต่ก็ยังสามารถ ช่วยบุตรได้ ไท้เธอฉวยทารกออกจากไฟฝัง ไว้ในต้นชานุมณฑลของไท้เธอเอง ทารกคงอยู่ในที่นั้นต่อจากที่ได้อยู่ในครรภ์ มารดามาแล้ว จนครบกำหนดคลอด ซูสจึงเอาทารกออก มอบให้นางอัปสรพวกหนึ่งเรียกว่า ไนสยาดีส (Nysiades) เป็นผู้ อนุบาล นางอัปสรพวกนี้เอาใจใส่อนุบาลทารกอย่างทะนุถนอมเป็น อย่างดี ซุสจึงโปรดเนรมิตให้กลายเป็นกลุ่มดาวหนึ่ง เรียกว่า ไฮยาดีส (Hyades) ส่วนทารกน้อยผู้ที่ ถูกนางอัปสรเลี้ยงดู มีชื่อว่า ไดโอนิซัส หรือ แบกคัส นั่นเอง
แม้ว่ากำเนิดแท้จริงของไดโอนิซัสจะเป็นกึ่งมนุษย์กึ่งเทพ แต่ก็ได้รับการยอมรับให้เป็นเทพอย่าง สมบูรณ์ มีความเป็น อมฤตภาพเช่นเดียวกับเหล่าเทพสภาอื่น ๆ บนสวรรค์ชั้นโอลิมปัส แต่ไดโอนิซัสรักที่จะ เดินทางท่องเที่ยวไปบนผืนดินอัน กว้างขวางมากกว่า ไปทางไหนก็นำความชุ่มชื้นแห่งสุราเมรัยติดไปด้วย คนที่มองเห็นคุณความดีของเธอพากันเคารพนับถือ ส่วนคนที่ดูถูกเหยียดหยามมักถูกลงโทษ ในฐานะที่เพิ่ง จะดำรงตำแหน่งเทพ ไดโอนิซัสไม่ประสบความสำเร็จในการทำให้ คนนับถือสักเท่าใดนัก ครั้นเวลาผ่านไป และคุณกับโทษของเธอเป็นที่ประจักษ์ชัดขึ้น มนุษย์ส่วนใหญ่จึงพากันเคารพนับถือ และสร้างวิหารถวายแด่ เมรัยเทพเป็นการใหญ่
ไดโอนิซัส ทำให้พื้นดินสะพรั่งไปด้วยองุ่นรสเลิศที่ทรงคุณประโยชน์มากหลาย ทำให้ผู้คนอิ่มหนำ และชื่นบาน แต่มีหลายครั้งที่ไดโอนิซัสทำให้คนกลายเป็นวิกลจริตอย่างน่าสมเพช ในจำนวนนี้มีสตรีกลุ่ม หนึ่งซึ่งเรียกว่า เมนาดส์ (Maenads) ซึ่งถูกพิษของเมรัย ทำให้เป็นบ้าหมดสติไปทุกคน ต่างกระโดด โลดเต้นร้องรำทำเพลงไปตามป่าเขาลำเนาไพร อย่างขาดสติ บางครั้งก็มาห้อมล้อมติดสอยห้อยตามไดโอนิซัส ไปด้วย ต่อมาในยุคโรมันเมื่อไดโอนิซัสได้รับชื่อเป็นภาษาละตินว่า แบกคัส (Bacchus) คณานางสติไม่ สมบูรณ์เหล่าสตรีก็ได้รับชื่อใหม่ว่า แบกคันทีส ( Bacchantes) จึงออกจะเป็นถาพที่ ประหลาดมากที่ชาย หนุ่มรูปงามคนหนึ่งจะเดินทางไปไหน ๆ โดยแวดล้อมด้วยผู้หญิงบ้า
เรื่องราวความรักของไดโอนิซัสก็มีบ้าง แต่เป็นรักที่ลงเอยด้วยความเศร้าสลด คือเธอไปพบและช่วยเหลือนาง อาริแอดนี่ (Ariadne) ธิดาเจ้ากรุงครีตไว้ได้ อาริแอดนี่ ธิดาของท้าว ไมนอสแห่งนตรครีต ซึ่งเลี้ยงอสูรร้ายชื่อ มิโนทอร์เอาไว้ใต้ดิน เมื่อวีรบุรุษ ธีลิอัสเดินทางไปครีตเพื่อเป็นเหยื่อแก่มิโนทอร์ นวลอนงค์ก็เกิดมีใจปฏิพัทธ์กับเจ้าชาย หนุ่ม จึงหาทางช่วยเหลือและพาหนีออกเกาะครีตได้สำเร็จ แต่ทว่านางถูกทอดทิ้งไว้เดียวดายบนเกาะร้างแห่งหนึ่ง ไดโอนิซัส ไปพบเข้าจึงเกิดความสงสารและรักนาง แต่รักได้ไม่นาน อาริแอดนี่ก็ตายลง ไดโอนิซัสสุดเสียใจนัก จึงไม่มีรักใหม่อีกเลย
ตัวของไดโอนิซัสเองก็มีชีวิตแสนเศร้าพอ ๆ กับรักของเธอเอง ใครคิดบ้างว่าเทพที่มีกายเป็นอมฤตภาพก็มีโอกาส ตายได้เช่นกัน นักกวีชาวกรีกโบราณเขาเขียนขึ้นตามความเป็นจริงของต้นองุ่น
กล่าวคือ เมื่อถึงฤดูเก็บองุ่น ชาวบ้านจะฟันเอากิ่งที่มีองุ่นติดเต็มไปหมด เหลือไว้แต่ต้นโดดเดี่ยว มองดูแล้วน่า สะพรึงกลัว เพราะมีแต่ลำต้นลุ่น ๆ ปราศจากกิ่งก้านสาขา แต่ไม่นานเมื่อเวลาผ่านไป ต้นองุ่นก็ค่อย ๆ ฟื้นตัวกลับแตกแยก กิ่งก้านและใบสวยงาม ต่อจากนั้นก็ผลิดอกออกผลเป็นที่เจริญตาอีกครั้ง
ฉันใดฉันนั้นเทพไดโอนิซัส ตามตำนานกล่าวว่า เธอถูกยักษ์เผ่าวงศ์ไทแทน ทำร้ายอย่างน่าสยองขวัญด้วยการฉีก ร่างออกเป็นชิ้น ๆ ก็ดั่งต้นองุ่นที่ถูกตัดกิ่งก้านเพื่อเก็บผลของมัน แต่ไม่นานนัก เทพไดโอนิซัสก็จับฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่ ก็ ในเวลาที่เธอฟื้นจากความตายนี่แหละ ที่ใคร ๆ ทั้งเทวดาและมนุษย์ต่างก็ชื่นชมยินดี และจัดงานรื่นเริงฉลองรับขวัญกัน เอิกเกริก
และจากการตายนี้เอง ไดโอนิซัสได้ช่วยเหลือมารดาที่เธอไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนจากหัตถ์ของยมเทพ และนำ ขึ้นสถิตอยู่บนสวรรค์ชั้นโอลิมปัสได้อย่างปลอดภัย
เรื่องมีอยู่ว่า เทพไดโอนิซัส ได้ติดตามหามารดาในปรโลก เมื่อพบแล้วเธอก็ขอนางคืน มาจากยมเทพฮาเดส แต่มัจจุราชไม่ยินยอม จนเกิดการโต้เถียงกันว่าใครจะเหนือกว่าใคร ไดโอนิซัสบอกคำเดียวว่า ตนนั้นเหนือกว่ามัจจุราช เพราะเธอสามารถตายแล้วคืนชีพได้อีก ไม่เคยมีเทพองค์ใดกระทำได้อย่างเธอเลย เทพฮาเดสเห็นจริงตามนั้น ก็ยอมมอบนางสิมิลีให้บุตร ชายพาออกจากแดนบาดาลไป เทพไดโอนิซัสจึงพามารดาขึ้นสวรรค์บนโอลิมปัส ที่นั่นเหล่าเทพ น้อยใหญ่ต่างต้อนรับนางสิมิลีเป็นอย่างดี โดยที่นางเป็นอมตหญิงคนเดียวที่อยู่ท่ามกลางอมตเทพ ทั้งปวงและฮีร่าเทวีก็ทำอะไรมิได้อีก

วันพุธที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2554

Post_Modern (ยุคนวนิยมหรือยุคหลังสมัยใหม่)

แนวคิดหลังยุคหลังสมัยใหม่

                อาจจะใช้คำว่าหลังสมัยใหม่ หรือแนวคิดหลังสมัยใหม่ เป็นแนวคิดทางการเมือง ปรัชญา วัฒนธรรม สังคม ดนตรี และอื่น ๆ เป็นมุมมองที่แตกต่างออกไปจากความคิดเดิม ๆ ของโลก อย่างเช่น แนวคิดลัทธิก่อนสมัยใหม่ หรือแนวคิดลัทธิสมัยใหม่ แนวคิดหลังสมัยใหม่ถูกจัดเข้ารวมกับทฤษฎิสายวิพากษ์

ที่มาของคำว่าหลังสมัยใหม่

               ยุคหลังสมัยใหม่นั้นได้มีนักวิชาการหลายท่านได้พูดถึงไว้ในงานต่าง ๆตามความเชี่ยวชาญของแต่ละท่าน  แต่ที่บัญญัติได้ชัดเจนและเป็นรูปธรรมมากที่สุดก็คือนักปรัชญาชาวฝรั่งเศสนามว่า ฌัง ฟรังซัวร์ ไลโอตารด์ (Jean Francois Lyotard)
ที่มาของของคำ ๆนี้นั้นมาจากหนังสือของเขาเองที่ชื่อว่า The Postmodern Condition : A Report on Knowledge ซึ่งไลโอตาร์ด
กล่าวว่า แนวทางแบบหลังสมัยใหม่นั้นหากจะบอกเวลาที่แน่ชัดที่สุดในการกำเนิดจะอยู่ในช่วงราวทศวรรษที่ 1950 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ยุโรปเริ่มปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางความคิดในเรื่องต่างๆ ทั้งในเรื่องของมนุษย์ สังคม วัฒนธรรม ไลโอตาร์ดเรียกร้องให้มนุษย์ปฎิเสธในเรื่องทฤษฎีต่าง ๆที่อ้างความเป็นสากลของวัฒนธรรมของตะวันตก ซึ่งการกระทำดังกล่าวเป็นวิธีการหาความรู้พื้นฐานของปรัชญาซึ่งเริ่มต้นด้วยการขุดเซาะทฤษฎีต่าง ๆที่อ้างตนว่าสามารถอธิบายความจริงได้ ไลโอตาร์ดจึงอธิบายสิ่งที่เขาเรียกว่าหลังสมัยใหม่ไว้ว่า

ข้าพเจ้านิยามหลังสมัยใหม่ในฐานะความไม่เชื่อถือในเรื่องเล่าหลัก ความไม่เชื่อถือนี้มิได้เป็นผลจากพัฒนาการของการศึกษาแบบวิทยาศาสตร์ แต่ทว่าเป็นสิ่งที่คาดได้ว่าจะเกิดขึ้น ความล้าสมัยของการทำให้เรื่องเล่าหลักมีความชอบธรรม, เป็นที่ยอมรับ คือความล้มเหลวของหลักอภิปรัชญา และขนบของการศึกษาในมหาวิทยาลัย เรื่องเล่าอื่นๆได้สูญเสียหน้าที่ของมันไปหมด... ...อะไรคือหลังสมัยใหม่?... ข้าพเจ้าไม่ได้รู้สึกสงสัยเลยว่ามันก็เป็นส่วนหนึ่งของสภาวะสมัยใหม่ หากสิ่งใดจะเป็นสิ่งใหม่ก็ต้องเริ่มต้นจากการเป็นสิ่งหลังสมัยใหม่ แนวคิดหลังสมัยใหม่ไม่สามารถถูกเข้าใจว่าเป็นจุดจบของแนวคิดสมัยใหม่ แต่คือจุดเริ่มต้น และจุดที่ยังเกิดขึ้นอยู่เสมอ... หลังสมัยใหม่จะทำให้สิ่งที่ภาวะสมัยใหม่ไม่นำเสนอมีที่ทางที่จะเสนอตัวเอง

ฌัง ฟรังซัวร์ ไลโอตารด์ (Jean Francois Lyotard)

ข้อมูลจาก

อิทธิพลที่มีต่อศิลปะและสุนทรียภาพในยุคหลังสมัยใหม่

  • ลักษณะศิลปะยุคหลังสมัยใหม่
                   การปฎิเสธศูนย์กลาง ก็คือ การปฎิเสธอำนาจครอบงำ เน้นชายขอบซอกมุม เพื่อปลดเปลื้องการครอบงำทางด้านเวลา เทศะและอัตลักษณ์ที่ยังหลงเหลืออยู่ ดังปรากฏในสถาปัตยกรรมจำนวนมากที่เลิกเน้นศูนย์กลาง และการปฎิเสธความเป็นเอกภาพ หรือ องค์รวม ภาพเขียนหรือสถาปัตยกรรมจึงไม่จำเป็นต้องจบสมบูรณ์อาจเป็นหลายเรื่องซ้อนเร้นกัน

                   ศิลปะยุดหลังสมัยใหม่โดยรวมแล้วจะคัดค้านโครงสร้าง ระเบียบ ลำดับ ไม่ยึดติดกับโครงสร้างเพราะถือได้ว่าเป็นแนวคิดหลังโครงสร้างนิยม และแนวคิดนี้จะต่อต้านจุดเริ่มต้นทางประวัติศาสตร์แต่จะโหยหาอดีต เนื่องจากความไม่มั่นคงทางอัตลักษณ์ อดีตของพวกเขาไม่ใช่ประวัติศาสตร์ แต่เป็นการทำลายประวัติศาสตร์เพราะมันถูกนำมาอยู่ในปัจจุบันหรือหลุดไปจากบริบทอย่างสิ้นเชิง


 Post-Modern Western Art

ข้อมูลจาก
                    

  • ดนตรีในยุคหลังสมัยใหม่
                   ดนตรีในยุคหลังสมัยใหม่เป็นดนตรีที่มีคุณค่าด้านสุนทรียภาพ ผสมกับปรัชญาตามแนวคิดยุคหลังสมัยใหม่ ด้วยเหตุนี้ดนตรีในยุคนี้จะต่อต้านกับดนตรียุคสมัยใหม่ กล่าวง่าย ๆคือดนตรีจะต่อต้านด้านโครงสร้างและรูปแบบในการทำเพลงที่มีมาทั้งหมด แต่จะเน้นไปที่อารมณ์ ความรู้สึก การสัมผัส และถ่ายทอดมันออกมาอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนนั่นเอง อย่างเช่นแนวดนตรีที่จะยกตัวอย่างต่อไปนี้

Post-Rock Music

                ดนตรีแนวโพส-ร็อค มีต้นกำเนิดจากแนว Alternative Rock และ Progessive Rock ลักษณะของดนตรีแนวนี้จะคล้ายกับดนตรีร็อค แต่จังหวะและการเรียบเรียงเพลงนั้นจะต่อต้านกับดนตรีร็อคอย่างสิ้นเชิง เพราะไม่ใช้นักร้องนำ แต่จะใช้เครื่องดนตรี อย่างเช่น กีต้าร์ในการบรรเลงแทน

                 Don Caballero and Tortoise เป็นวงดนตรีวงแรก ๆที่มีการสร้างสรรค์แนวดนตรี โพส-ร็อค ขึ้นมา ในช่วงปีค.ศ.1990 จึงมีการบัญญัติแนวดนตรีนี้ขึ้นและทำให้เกิดวง โพส-ร็อค รุ่นใหม่ตามมา อย่างเช่น

 Explosions In The Sky











Do Make Say Think







สรุปแล้ว ดนตรี Post-Rock เป็นการเปิดกว้างทางดนตรีและสไตล์ของแต่ละวงในการสร้างสรรค์ตัวเพลงออกมาอย่างกว้างๆ และมีการนำปรัชญายุคหลังสมัยใหม่ที่มีความเปิดกว้างมาใช้เป็นชื่อเพลงให้ได้ผู้ฟังสามารถจินตนาการได้อย่างเต็มที่นั่นเอง

ข้อมูลบางส่วนจาก
                                                                                                                  http://en.wikipedia.org/wiki/Post-rock

  • สังคมในยุคหลังสมัยใหม่
สังคมหลังยุคสมัยใหม่
ยุคหลังสมัยใหม่กำลังก้าวเข้ามาแทนที่ยุคสมัยใหม่อย่างท้าทาย ด้วยนัยแห่งการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจ การเมือง สังคมและวัฒนธรรม อาทิ จันทนี เจริญศรี กล่าวไว้ (2544 : 1)

- ลักษณะทางเศรษฐกิจที่ก้าวเข้าสู่เศรษฐกิจแบบบริโภคนิยมมวลชน (mass consumerism)
ความเป็นยุคทุนนิยมตอนปลาย (late capitalism) ( Bell, 1976)

- ลักษณะการผลิตเป็นแบบหลังอุตสาหกรรม (post-industrial) ความเป็นสังคมข่าวสาร สังคมที่ประกอบขึ้นจากการจำลอง
(simulation) (Bogard ,1992)

- ลักษณะล้ำความจริง (hyperreality) การยุบตัว (implosion) รวมถึงรูปแบบใหม่ทางเทคโนโลยีและวัฒนธรรม เป็นยุคที่สื่ออีเลคโทนิคส์ซึ่งสามารถตัดข้ามผ่านพื้นที่ทางกายภาพจะเข้ามาแทนที่ "ชุมชน" อันจะทำให้แนวคิดเรื่องสังคมจะกลายเป็นเพียงภาพลวงตา (Bogard ,1992)

                                                                                                               
ข้อมูลจาก

        ปล่อยวางเท่านั้นที่จะสามารถอยู่ควบคู่กับโลกในยุคนี้ได้
                                                                                                  โดย Blues Man
......................................................................................................................................................................